สนเลื้อย (Juniperus Procumbens) เป็นต้นสนพันธ์ของญี่ปุ่นตามชื่อไทยที่เรียกว่าสนเลื้อยญี่ปุ่นนั่นเอง มีลักษณะเป็นไม้เลื้อยปกคลุมดิน โตเต็มที่สูงประมาณ 90ซม ความกว้างของพุ่มใบ 2 เมตร มีลำต้นบิดงอไปมาสวยงาม มีใบเป็นลักษณะรูปเข็มสีเขียวเข้มไปจนถึงสีเขียวอมฟ้า มีนำเข้ามาใช้ประดับสวนในประเทศไทยนานแล้ว ส่วนสนเลื้อยแคระ (Juniperus Procumbens “nana”) มีลักษณะเหมือนสนเลื้อยธรรมดาทุกประการแต่มีใบที่เป็นช่อที่เล็กและแน่นทึบกว่า
รายละเอียดในการเลี้ยงครับ
1. ห้ามลิดใบออกทั้งหมด กิ่งไหนไร้ใบ กิ่งนั้นตายครับ
2. การเล็มใบไม่ควรเกิน 20% ของพุ่มใบ โดยเฉพาะในที่ๆมีอากาศร้อน
3. เมื่อมีการตัดรากให้เล็มใบออกด้วย
4. การเหลือเฉพาะใบด้านในที่อ่อนแอไว้ทำให้ต้นตายได้ เนื่องจากใบที่อ่อนแอนั้นไม่ทนต่อแสงแดด
5. ดังนั้นควรตัดออกเฉพาะปลายรอบนอกที่แข็งแรงและเหลือโซนกลางไว้
6. ตัดยอดและปลายให้มากกว่ากิ่งล่าง เพราะกิ่งล่างโดนแสงน้อยกว่าจึงอ่อนแอกว่า
7. ตัดแต่งรากเฉพาะในหน้าหนาว ครั้งละประมาณ15%
8. ดินปลูกต้องระบายน้ำดีและมีอินทรีวัตถุให้น้อยที่สุด
9. ผมใช้ภูไมค์+เพอร์ไลท์+ทรายหยาบ และ แกลบดำ+ดินก้ามปูนิดหน่อยครับ
10. ไม้สร้างใช้โครงสร้างเม็ดดินที่ใหญ่เพื่อให้รากเดินไว
11. ไม้จบใช้เม็ดดินที่เล็กลง
12. ดินที่ใช้ควรร่อนฝุ่นออกให้หมด
13. เปลี่ยนดิน 2-5 ปีต่อครั้ง
14. ให้ปุ๋ยอ่อนๆสลับกันหลายๆสูตร(เรื่องปุ๋ยและความถี่อยู่ในช่วงการทดลองครับ)
15. งดให้ปุ๋ยเมื่อมีการตัดรากหรือเปลี่ยนเครื่องปลูก
16. ปุ๋ยเคมีที่เข้มข้นมากเกินไปทำให้เกิดอาการรากไหม้ได้
ปัญหาในการปลูกเลี้ยง
1. ใบแห้งกลายเป็นสีน้ำตาล
เกิดจากหลายสาเหตุ เช่นขาดน้ำ, ใบทีเหลืออยู่เป็นใบที่อ่อนแอ, รากเน่าเป็นต้น
1.1 ขาดน้ำ เกิดจากการขาดการดูแลเอาใจใส่ หรือการรดน้ำไม่ถึงก้นกระถาง มักเกิดกับไม้จิ๋วเป็นส่วนใหญ่ การแก้ไขในกรณีหลังให้ใช้ดินปลูกที่มีโครงสร้างเล็กลงและอาจเติมขุยมะพร้าวหรือพีชมอสลงไปได้นิดหน่อย
1.2 ใบอ่อนแอ... ใบด้านในที่อ่อนแอเป็นใบที่จวนเจียนจะทิ้ง สังเกตได้จากสีที่เมื่อเปรียบเทียบกับปลายยอดแล้วจะหมองกว่า ใบที่อ่อนแอนั้นหาอาหารไม่เก่งและเมื่อไม่มีปลายแข็งแรงช่วยพยุงการลำเลียงน้ำเลี้ยง มักจะไหม้เมื่อโดนแดดและทำให้ทิ้งกิ่งในที่สุด
1.3 รากเน่า เกิดจากดินปลูกไม่ระบายน้ำ หรือเก็บกักความชื้นมากเกินไป ควรร่อนฝุ่นดินทิ้งทุกครั้งที่เปลี่ยนดิน และหลีกเลี่ยงดินปลูกที่อุดมด้วยอินทรียวัตถุ เพราะเมื่อย่อยสลายลงไปแล้วจะเกิดปัญหาดินแน่นตามมา อนึ่งปัญหานี้มันจะเกิดขึ้นในปีที่สองเมื่อมีการเปลี่ยนดิน(ตามประสบการณ์ของผม) เพราะโครงสร้างของดินเริ่มไม่แข็งแรงแล้วนั่นเอง เมื่อเกิดอาการรากเน่าจะสังเกตได้ว่าไม้จะเริ่มทิ้งกิ่งบางกิ่งในขณะที่กิ่งอื่นๆยังเขียวอยู่ วิธีแก้ให้รีบถอดกระถางมาล้างดินออกให้มากที่สุดและเติมด้วยทรายหยาบล้วนๆ ตั้งต้นไม้ในที่ๆมีแสงรำไร รดน้ำไม่ต้องบ่อยแต่ให้สเปรย์ใบทุกวัน (วิธีนี้ไม่ได้มั่ว อ่านมาจากนิตยสาร Bonsai Today)
2 โรคและแมลง
ไม้ประเภทสนมีปัญหาเรื่องโรคและแมลงน้อย ส่วนใหญ่เกิดจากเพลี้ยต่างๆ ผมใช้วิธีรดน้ำทั้งที่โคนและที่ใบ ช่วยได้เยอะทีเดียวแล้วยังช่วยล้างฝุ่นออกทำให้ใบได้รับแสงดีขึ้น ส่วนเรื่องโรคเท่าที่เจอมักเป็นปัญหาเรื่องเชื้อราต่างๆ ถ้าเป็นราที่รากก็แก้ตามวิธีในหัวข้อด้านต้นและให้ยากันราบ้างก็ช่วยได้ครับ (ผมใช้ออโธไซด์)
3 การผุกร่อนของซากไม้
ซากไม้(จินและชาริ) เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นของคู่กันกับบอนไซประเภทสน สนตระกูลจูนิเปอร์ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องซากผุเท่าไรนักเนื่องจากลักษณะของเนื้อไม้ที่เป็นเส้นยาวเหนียวและมียางสนคอยป้องกันแมลงอยู่แต่อย่างไรก็ตาม การรักษาเนื้อซากทำได้โดยทาด้วยน้ำยาไลม์ซัลเฟอร์ทุกๆ6เดือน และในครั้งแรกที่ทา ควรทาซ้ำทุกสัปดาห์ประมาณหนึ่งเดือน การทาไลม์ซัลเฟอร์ควรทาเมื่อเนื้อไม้แห้งแล้วเท่านั้น